ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการดูดีในสายตาของคนรอบข้างด้วยกันทั้งนั้น แต่จะดีแค่ไหนถ้าจะดูดีและมีสุขภาพดีควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะ "ผิวพรรณ" ปราการด่านแรกที่ดึงดูดสายตา ซึ่งเราควรให้ความใส่ใจและดูแลอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเวลาผ่านไปในทุกๆ ช่วงอายุ การใช้ชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ แสงแดด มลภาวะ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ รวมถึงการไม่ได้ออกกำลังกาย เป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวที่เคยแลดูอ่อนเยาว์ ขาดความชุ่มชื้น เกิดความหมองคล้ำ ยืดหยุ่นลดลง มีริ้วรอยให้คอยให้กังวล ส่งผลให้ขาดความมั่นใจ และเสียบุคลิกภาพ แต่สิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันได้เพียงแค่เราให้ความสำคัญกับโภชนาการ เพื่อการปกป้องแต่แรกๆ
ในแต่ละวันร่างกายต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รวมถึงให้พลังงานเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ แต่สารอาหารอย่างวิตามินและแร่ธาตุก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน ไม่เพียงแต่ช่วยในการดูดซึมสารอาหารต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย แต่ยังมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรง สดใส ต้านอนุมูลอิสระให้กับผิวพรรณของเราอีกด้วย โดยเฉพาะวิตามินอี (Vitamin E) ที่มีความสำคัญต่อการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพผิว ให้แลดูมีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก แต่มักเป็นสารอาหารที่ถูกมองข้ามไป
เมื่อมีการเผาผลาญเกิดขึ้นในร่างกาย ไม่ว่าจะมาจากการเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่างๆ การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย หรือแม้แต่ในขณะนอนหลับ ที่ร่างกายมีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ร่างกายจะมีการผลิตสารพิษชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "อนุมูลอิสระ" ออกมาควบคู่กันไปด้วย ซึ่งหากเราไม่ได้รับโภชนาการที่มีสารอาหารที่สามารถกำจัดอนุมูลอิสระนี้ออกไปได้ ก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
วิตามินอีเป็นสารอาหารจากธรรมชาติที่ละลายในไขมันได้ดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพของผิวพรรณและชะลอวัย จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์มาอย่างยาวนานว่า ช่วยปกป้องเซลล์ต่างๆ ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
วิตามินอี...สารอาหารจากธรรมชาติที่มากด้วยคุณประโยชน์
วิตามินอีเป็นสารอาหารจากธรรมชาติที่ละลายในไขมันได้ดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพของผิวพรรณและชะลอวัย จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์มาอย่างยาวนานว่า ช่วยปกป้องเซลล์ต่างๆ ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ ในประเทศเยอรมันได้มีการศึกษาและวิจัยโดยสมาคมการค้นคว้าโรคผิวหนังพบว่า วิตามินอี สามารถช่วยให้เซลล์ผิวทนต่อรังสี UVB ในแดดได้ดีขึ้น โดยมีการทดสอบกับอาสาสมัครเมื่อรับประทานวิตามินอี 1,000 ยูนิต (IU) ร่วมกับวิตามินซี 2,000 มิลลิกรัม ทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน
วิตามินอี...หาได้จากที่ไหนบ้าง
การรับประทานวิตามินอีในปริมาณที่เหมาะสมเป็นประจำจะช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้ แต่วิตามินอี เป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นมาเองได้ จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับจากการรับประทานเข้าไปเท่านั้น เช่น ประเภทพืชผักใบเขียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่จะเจริญเป็นต้นใหม่ (germ) ต้นอ่อน ใบอ่อน เมล็ดพืช ธัญพืช ชาเขียว ผลไม้ ไข่ ถั่ว และน้ำมันชนิดต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี โดยเฉพาะใบอ่อนข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี หรือใบอะชิตะบะ พืชพื้นเมืองในญี่ปุ่น ที่อุดมไปด้วยวิตามินอี นิยมนำมาปรุงอาหารในรูปแบบต่างๆ เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น ชาอะชิตะบะ รวมถึงเป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว ผสมในครีมกันแดด เพื่อช่วยเร่งการทำงานของเอนไซม์ ที่ช่วยลดความเกรียมแดดของผิวหนัง และช่วยสมานผิวหนัง ด้วยคุณประโยชน์และความสำคัญของวิตามินที่มีอยู่ในพืชผักต่างๆ เหล่านั้น องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) จึงแนะนำให้ควรรับประทานผักและผลไม้ไม่น้อยกว่าวันละ 400 กรัม เพื่อให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอต่อความต้องการร่างกาย
ได้รับวิตามินอี...ต้องพอดีกับความต้องการของร่างกาย
แม้วิตามินอีจะมีประโยชน์มากมาย แต่ถ้าร่างกายได้รับในปริมาณมากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อการทำงานของร่างกายได้ เพราะจะไปขัดขวางการดูดซึมของวิตามินเอที่ร่างกายจะนำไปใช้ บางคนอาจพบว่ามีอาการท้องอืด อาเจียน ท้องร่วง ท้องเสีย ปวดท้อง ปวดหัว ตาพร่า อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ได้บ้าง ดังนั้น WHO จึงแนะนำปริมาณวิตามินอี ที่ควรได้รับอย่างเหมาะสมไม่เกิน 400 IU ต่อวัน การมีอาการชาตามร่างกายเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อย ในผู้ที่ได้รับวิตามินอีไม่เพียงพอ ส่วนคนที่ได้รับวิตามินอีมากเกินไป คือเกิน 800 IU ต่อวัน มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย มึนงง เป็นต้นการจะมีผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์ ไม่แห้งกร้าน หมองคล้ำทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ให้ความสำคัญกับโภชนาการด้วยการเลือกรับประทานอาหารจำพวกพืชผักผลไม้ที่มีใยอาหาร และอุดมไปด้วยวิตามินอีและวิตามินซีตั้งแต่วันนี้